Hallstatt
Highlight
- หมู่บ้าน Hallstatt เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่มี Landscape สวยในแบบอุดมคติของใครหลาย ๆคน คือมีทะเลสาปกว้างใหญ่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงชัน ซึ่งจุดชมวิวหลักจะมี 2 จุด ซึ่งจุดแรกจะอยู่ท่าเทียบเรือตรงทางเข้าหน้าหมู่บ้าน และจุดที่สองเรียกได้ว่าเป็นจุด Highlight ซึ่งจะต้องเดินเข้ามาด้านในหมู่บ้านประมาณ 950 เมตร
- หมู่บ้าน Hallstatt แต่ละฤดูกาลก็มีความสวยงามไม่เหมือนกัน แต่ถ้าใครอยากมาแล้วเห็นหิมะปกคลุมบนยอดเขาก็ให้มาตั้งแต่เดือน พ.ย. ไปจนถึงต้นเดือน พ.ค. แต่ผมแนะนำให้ไปช่วง เม.ย เพราะจะได้บรรยากาศหิมะแบบต้นไม้เริ่มเขียว ๆ ส่วนถ้าอยากได้แบบทีมฤดูใบไม้ร่วงก็ให้ไป พ.ย. เพราะต้นไม้กำลังผลัดใบเหลืองได้ที่เลย
- การเดินทางมา Hallstatt ถือว่าง่ายมาก มาได้ทั้งรถไฟและรถบัส ถ้าเอาแบบง่ายและถูก ผมแนะนำให้ไปรถบัสครับ ขึ้นรถสาย 150 จากสถานีรถไฟ Salzburg พอถึงสถานีเมือง Bad Ischi ให้ลงแล้วไปต่อรถบัสสาย 543 เพื่อไปลงสถานี Hallstatt Lah แค่นี้จบ ใช้เงินราว ๆ 15 ยูโร หรือประมาณ 570 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1:30 ช.ม.
1. เมือง Hallstatt หมู่บ้านในฝันของสาย Landscape
หมู่บ้าน “Hallstatt” ผมยกให้เป็นหนึ่งในหมู่บ้านของโลกที่มีความสวยงามดั่งเทพนิยาย และคิดว่าใครหลายคนคงเคยเห็นภาพหมู่บ้านนี้กันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะตามเพจหรือเว็บรีวิวท่องเที่ยวต่าง ๆ แต่ขอบอกเลยว่า “ ของจริงมันสวยกว่าในภาพมาก” แนะนำว่าสักครั้งในชีวิตควรหาโอกาสมาดูของจริงให้ได้ ยิ่งใครที่เป็นสายถ่ายภาพ Landscape ด้วยแล้ว ไม่มีผิดหวังแน่นอน ในเรื่องของ Landscape ผมให้ที่นี่เต็มสิบ แต่ว่าจุดชมวิวที่เด่นจริง ๆของที่นี่จะมีอยู่เพียง 2 จุดเท่านั้น(มีน้อยแต่จัดเต็ม) จุดแรกจะอยู่ตรงท่าเรือทางเข้าหน้าหมู่บ้านเลย ส่วนจุดที่สองจะต้องเดินเข้าไปในหมู่บ้านประมาณ 950 เมตร แม้ว่ามันจะดูไกลไปนิดนึง แต่ไม่ควรขี้เกียจเดินไปอย่างยิ่ง เพราะจุดที่สองก็คือจุด High light นั่นเอง ตอนผมเดินไปถึงจุดชมวิว High light ของหมู่บ้าน ถึงกับต้องอุทานว่า “โอ้โหนี่มันวิวในอุดมคติชัด ๆ ในที่สุดก็ได้เห็นจากตาตัวเองแล้วโว้ย” ซึ่งรูปที่เราเห็นตามรีวิวท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็ถ่ายกันตรงจุดนี้แหละครับ หากใครพลาดผมก็ไม่รู้จะว่าไงเหมือนกัน(จะบอกว่ามาไม่ถึงก็เกรงใจฮ่า ๆ) ผมเองถ้ามีโอกาสก็ว่าจะไปซ้ำอีกรอบ แต่รอบหน้าคงไปฤดูใบไม้ร่วง เอาไว้ไปเมื่อไหร่จะมาแชร์ข้อมูลให้นะครับ ตอนนี้ขอเก็บตังหางบก่อน (เอาจริง ๆ อยากพกแฟนมาด้วย วิวแมร่งโคตรโรแมนติกเลย 5555)
หมู่บ้าน Hallstatt เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบอันกว้างใหญ่ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่มีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนหน้าผาสูงชัน(Dolomite mountain) ทำให้ Landscape ที่นี่ดูทรงพลังมาก ๆ ยิ่งบวกกับสถาปัตยกรรมตัวหมู่บ้านที่เป็นไม้สไตล์แบบยุโรปแล้วบอกเลยว่า ”แมร่งโคตรสุด” จึงไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต่างตั้งเป้าหมายมาที่นี่ แล้วก็น่าจะเป็นจุดหมายปลายของคนไทยหลายคนด้วย จากเท่าที่ผมไปมาแล้วที่นี่ถือว่านักท่องเที่ยวไทยเยอะมาก แทบจะเดินชนกันเลย เยอะขนาดคนขายเบอร์เกอร์ตรงทางเข้าพูดภาษาไทยได้นิดนึงเลย นอกจากนี้ภายในหมู่บ้านก็มีที่พักโรงแรม ร้านอาหาร ให้บริการพร้อม ใครอยากจะมาพักที่นี่ก็ได้แต่ราคาจะแพงนิดนึง ส่วนเรื่องอาหารก็ราคาตามมาตรฐานโซนยุโรป ไม่ได้แพงหูฉี่เหมือนแถบสวิสฯ อย่างแฮมเบอร์เกอร์ที่นี่จะอยู่ราว ๆ 4.50-5.50 ยูโร/ชิ้น (170-190 บาท) อาหารก็ตกอยู่จานละ 10-15 ยูโร (380-500 บาท) ส่วนเรื่องของรสชาตินั้นไปลองชิมกันเอง ผมค่อนข้างติดรสชาติแบบไทย ๆ พอไปกินอาหารยุโรปความรู้สึกคือไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ (ยกเว้นเบคอนนะ)
2. Hallstatt ไปช่วงไหนได้บรรยากาศแบบไหน?
หมู่บ้าน Hallstatt อยู่ไม่ไกลจากเมือง Salzburg ดังนั้นอากาศที่นี่จะค่อนข้างใกล้เคียงกับเมือง Salzburg อาจจะเย็นกว่าเพียง 1-2 องศาเซลเซียส เท่านั้น เนื่องจากข้อมูลอากาศหมู่บ้าน Hallstatt แบบละเอียดมันไม่มี ดังนั้นผมจะใช้ข้อมูลสภาพอากาศของเมือง Salzburg แทนนะครับ จริง ๆแล้วผมเองก็เคยไป Hallstatt แค่ฤดูใบไม้ผลิ แต่จากเท่าที่ดูรูปตามรีวิวพันทิป และช่างภาพเทพ ๆ ตามเพจต่าง ๆ บวกกับข้อมูลสภาพอากาศที่มี ก็สามารถพอตีความได้ว่าในแต่ละเดือนได้นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งผมสรุปให้ตามด้านล่างนี้เลย
เดือนมีนาคม – พฤษภาคม หรือฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายจากฤดูหนาวเป็นฤดูร้อน อากาศช่วงนี้จะค่อนข้างหนาว วันไหนแดดดีอากาศก็กำลังดีไม่ร้อนไม่หนาว แต่ถ้าวันไหนฝนตกบอกเลยว่าเย็นเฉียบจนบางครั้งก็เป็นฝนผสมหิมะได้เลย ต้นไม้ใบหญ้าช่วงนี้จะเริ่มเขียว ซึ่งจะเริ่มเขียวจากหญ้าก่อน พวกต้นไม้สูง ๆจะเขียวตามมาที่หลัง กว่าจะเขียวหมดก็ประมาณกลาง พ.ค. นู่น แต่ช่วงนี้มันดีตรงที่ตามบนยอดสันเขาต่าง ๆ ยังปกคลุมไปด้วยหิมะ และน่าจะปกคลุมไปจนถึงต้นเดือน พ.ค. เลย ส่วนใครกำลังวางแผนจะมาช่วงฤดูใบไม้ผลิ ผมเชียร์ให้มาช่วงเดือน เม.ย นะครับ ไม่ใช่อะไร นอกจากหิมะยังละลายไม่หมดแล้วยังตรงกับช่วงที่เมืองไทยมีอากาศร้อนพร้อมกับหมอกควันด้วย ใครสายเที่ยวในไทยแบบผมจะรู้ว่าเมืองไทยช่วงนี้ไม่มีอะไรน่าเที่ยวเลย ดังนั้นจัดมาที่นี่โลด
เดือนมิถุนายน – กันยายน หรือฤดูร้อน ชื่อมันบอกว่าหน้าร้อนก็จริง แต่เอาเข้าจริง ๆแล้วมันก็อากาศแบบทางภาคเหนือบ้านเราช่วงหน้าหนาวแหละครับ จะมีช่วงที่ร้อนพีค ๆก็แค่ 1-2 สัปดาห์ ประมาณกลางเดือน ก.ค. เท่านั้น(เป็นไปได้ควรเลี่ยงนะครับ ไม่งั้นจะได้อากาศแบบไทย ๆเลย) แต่อย่างไรก็ตามมันก็ร้อนแค่ตอนกลางวันแหละครับ กลางคืนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ผมคิดว่าคนไทยมีภูมิต้านทานความร้อนกันอยู่แล้ว มาช่วงนี้ข้อดีคือทุกอย่างมันจะเขียวไปหมด ใครสายเขียว ๆ ผมว่าไม่ควรพลาดช่วงนี้เป็นอย่างยิ่ง
เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน หรือฤดูใบไม้ร่วง ในช่วงเดือน ต.ค. อากาศจะเริ่มกลับมาเย็นอีกครั้ง ต้นไม้จะเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเหลือง แต่ว่าจะยังไม่มีหิมะตกนะครับ หิมะจะเริ่มปกคลุมยอดเขาประมาณปลาย ต.ค. ถ้าจะมาช่วงนี้ผมแนะนำให้ไปต้นถึง-กลางเดือน พ.ย. เลยครับ เพราะใบไม้จะเปลี่ยนสีเยอะมากที่สุด และบนยอดเขาก็เริ่มมีหิมะปกคลุมบ้างแล้ว ซึ่งครั้งหน้าผมตั้งใจจะมาซ้ำอีกรอบช่วงนี้นี่แหละ
เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ หรือฤดูหนาว ช่วงนี้เรียกได้ว่าหนาวสุด ๆ ใครสายอยากเจอหิมะเน้น ๆ มาช่วงนี้ได้เลย ผมเคยเห็นภาพถ่ายช่วงฤดูหนาวที่นี่ก็สวยเหมือนกันนะครับ แต่ช่วงหน้าหนาวมันเสียเปรียบเรื่องช่วงกลางวันสั้น มันเที่ยวได้น้อย แต่ข้อดีคือค่าที่พักมันถูกมาก เพราะมันตรงกับช่วง Low Season ของที่นี่นั่นเอง สุดท้ายหากใครวางแพลนว่าจะมาช่วงนี้ ผมแนะนำว่าไปช่วงฤดูใบไม้ผลิดีกว่าครับ มีหิมะเหมือนกัน แถมช่วงเวลากลางวันยังยาวกว่าด้วย (พูดตรง ๆ ถ้าไม่เน้นเจอหิมะ เที่ยวยุโรปช่วงนี้ เที่ยวไทยสวยกว่า)
3.เดินทางง่าย ๆ จาก Salzburg มา Hallstatt
การเดินทางมา Hallstatt ถือว่าไม่ยาก สามารถมาได้ทั้งรถบัสหรือนั่งรถไฟมาก็ได้ แต่ไม่ว่าจะไปแบบไหนเราจะต้องเริ่มต้นการเดินทางที่สถานีรถไฟ Salzburg ก่อน สำหรับใครที่จะไปรถบัสให้ไปขึ้นรถสาย 150 พอถึงสถานีเมือง Bad Ischi ให้ลงแล้วไปต่อรถบัสสาย 543 เพื่อไปลงสถานี Hallstatt Lah (แบบนี้ง่ายสุด และราคาถูกสุด ตกอยู่เที่ยวละ 15 ยูโร หรือ 570 บาท และใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ช.ม.) ส่วนใครที่จะไปรถไฟจะยุ่ง ๆนิดนึงคือพอเราขึ้นรถไฟไปแล้วเราจะต้องลงสถานี Attnang Puchheim เพื่อเปลี่ยนขบวนไปลงสถานี Hallstatt Bahnhof หลังจากนั้นจะต้องขึ้นเรือเฟอรี่ข้ามฟากมายังหมู่บ้าน Hallstatt ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ช.ม. และเสียค่าเดินทางตกอยู่เที่ยวละ 31 ยูโร หรือ 1,200 บาท ถ้าให้ผมแนะนำเดินทางโดยรถบัสเถอะครับ ชีวิตจะได้ไม่ยุ่งยากและประหยัดเงินด้วย ขออีกนิดข้างทางระหว่างไป Hallstatt นี่วิวสวยโหดพอ ๆกับหมู่บ้าน Hallstatt ดังนั้นไม่ควรหลับระหว่างทางเป็นอย่างยิ่ง ไม่งั้นจะพลาดวิวสวย ๆ งาม ๆของเทือกเขาแอลป์ฝั่งตะวันออกได้
***หมายเหตุ 1 EU ค่าเฉลี่ย 5 ปี อยู่ 38.00 บาท +-5 บาท ดังนั้นบทความนี้ผมจะคูณ 38.00 บาท
***สุดท้ายขอนิดนึง ที่ไม่เขียนชื่อเมืองแปลไทย เพราะอ่านไม่ออกเหมือนกันครับ ใครเก่งเยอรมันช่วยที 5555555