รีวิวสายการบิน Emirate Economy class จากกรุงเทพไปเวนิส
เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ใช้บริการสายการบิน Emirates ครั้งแรกบินไปยุโรป เนื่องจากครั้งนี้ผมจะไปลงที่เมืองเวนิส ซึ่งไม่มีบินตรงจากการบินไทย ในเมื่อต้อง transit เหมือนกัน ผมก็เลยลองเลือกใช้บริการของ Emirates ดูบ้าง ปรากฎว่าค่อนข้างประทับใจเลยทีเดียว ที่นั่งดูสะอาด อาหารอร่อยใช้ได้ สิ่งบันเทิงบนเครื่องบิน(Entertainment) มีให้เลือกดูหลากหลายมาก และสิ่งที่พีคสุดของสายการบินนี้คือให้บริการ Wi-Fi ฟรี 20MB อันนี้ต้องยอมรับว่า Emirates ป๋ามาก ปัจจุบันในประเทศไทยสายการบิน Emirate มีไฟล์ทบินตรงไปทั้งหมด 2 เมือง ได้แก่ ดูไบ (DXB), และฮ่องกง (HKG) เส้นทางไปฮ่องกงจะเป็นดำเนินการด้วยเครื่องบินแบบ A380 ทั้งหมด แต่ในเส้นทางดูไบจะมีทั้ง A380-800 และ B777-300ER สำหรับใครที่จะต่อเครื่องไปยุโรปหรือที่อื่น ๆ เราจะต้องไป transit ที่ดูไบก่อน เวลาเลือกไฟล์ทไป transit ควรดูดี ๆ ด้วยว่าเราจะได้ไปเครื่องบินแบบไหน ผมแนะนำให้เลือกไฟล์ทบินที่ใช้เครื่อง A380 จะดีที่สุดครับ เพราะว่าที่นั่ง A380 จะกว้างกว่า B777 ประมาณ 1 นิ้ว ซึ่งสบายกว่ามาก และโดยทั่วไปเครื่อง A380 ตัวเครื่องจะค่อนข้างใหม่กว่า B777 ดังนั้นในเรื่องเทคโนโลยีบนหน้าจอหรือสิ่งบันเทิงก็จะอัพเดทใหม่กว่า
ในช่วงระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา สายการบิน emirate เป็นหนึ่งในสายการบินที่ได้รับความนิยมติดอยู่ในอันดับ 1-5 มาโดยตลอด แถมยังเป็นสายการบินผู้ให้บริการด้วยเครื่องบินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก(Airbus A380-800) ซึ่งมีประจำการอยู่ 112 ลำ(รอส่งมอบอีก 30 ลำ ภายในปี 2022) ผมคิดว่าน่าจะเป็นสายการบินที่มี A380 ประจำการมากที่สุดแล้วแหละ(การบินไทยมี 6 ลำ) ส่วนในฝั่ง Boeing ก็ไม่แพ้กัน สายการบิน Emirates มีเครื่องบินรุ่น Boeing 777-300ER ประจำการอยู่ 135 ลำ ในอนาคตกำลังจะสั่งซื้อรุ่น B777-X มาทดแทนรุ่นเดิมที่มีอยู่ด้วย ดังนั้น การจองและเลือกที่นั่งของสายการบิน Emirate จะค่อนข้างง่าย เพราะหลัก ๆแล้วจะมีรุ่นเครื่องบินให้เลือกอยู่แค่ 2 ชนิด คือ A380-800 กับ B777-300ER เท่านั้น ( คำว่า ER=Extended range คือรุ่นที่สามารถทำระยะการบินได้ไกลกว่า B777-300 รุ่นเดิม)
Route: Bangkok (BKK) to Dubai (DXB)
Flight: EK 385 (Economy Class)
Aircraft: Airbus 380-800
Seat: ที่นั่งจัดเรียงแบบ 3-4-3 (ชั้นล่าง) / 2-4-2 (ชั้นบน) ที่นั่งกว้าง 18 นิ้ว/ที่วางขายาว 32-34 นิ้ว
Duration: ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพถึงดูไบ ประมาณ 6:30 ช.ม.
Transit Dubai International airport
Route: Dubai (DXB) to Venice (VCE)
Flight: EK 175 (Economy Class)
Aircraft: Boeing 777-300ER
Seat: ที่นั่งจัดเรียงแบบ 3-4-3 ที่นั่งกว้าง 17 นิ้ว/ที่วางขายาว 32-34 นิ้ว
Duration: ใช้เวลาเดินทางจากดูไบถึงเวนิส ประมาณ 6:00 ช.ม.
หลังจากที่ผมเช็คอิน ผ่าน ตม. มาเรียบร้อยแล้ว ผ่านไป 1 ช.ม. เจ้าหน้าที่ก็เริ่มเรียกขึ้นเครื่อง เมื่อเข้าไปด้านในแอร์จะบอกว่าที่นั่งเราอยู่ประมาณไหน ก็เดินไปตามที่เรานั่งเลย พอถึงที่นั่งแล้วในแต่ละที่ก็จะมีจอ Entertainment ให้เป็นส่วนตัวเลย มีหูฟังให้พร้อม(แต่ผมถนัดฟังหู iPhone มากกว่า 555) ในส่วนหน้าจอจะเป็นแบบสัมผัส และจะมี Joint stick กึ่งรีโมร์ท เพราะในหน้าจอนี้นอกจากดูหนังฟังเพลงได้แล้วยังมีเกมส์ให้เล่นด้วย แล้วแต่ว่าใครชอบสิ่งบันเทิงแบบไหนก็เลือกได้ตามใจชอบเลย แต่โดยส่วนตัวผมมักจะค้างหน้าจอเอาไว้ดูว่าเครื่องบิน บินอยู่ตรงไหนแล้ว บินสูงเท่าไหร่ อุณหภูมินอกเครื่องหนาวมั้ย บินเร็วเท่าไหร่ อีกกี่ชั่วโมงถึง ผมว่ามันแปลกดีนะ หลายคนไม่เคยรู้ว่าเครื่องบินโดยสารที่เราบิน ๆกันอยู่มีความเร็วสูงถึง 1,000 km/h หรือราว ๆ 0.8 เท่าของความเร็วเสียง (0.8มัด) ตอนแรก ๆก็ดูตื่นเต้น ไป ๆมา ๆก็ง่วงเหมือนกัน ขอหลับก่อนดีกว่า
ก่อนถึงดูไบประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า พนักงานจะเริ่มเสิร์ฟอาหารเช้า เมนูเช้าวันนี้ก็คือ อะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เป็นเห็ดผัดกับไข่ Omelet แล้วมีอะไรเชื่อม ๆด้วยก็ไม่รู้ ตอนนั้นด้วยความง่วง ๆ แอร์บอกเอาอันนี้มั้ย เราก็อื้อ ๆ อันนี้แหละ แม้ว่าผมจะไม่รู้จักว่ามันคืออะไร แต่เอาเป็นว่ามันก็อร่อยดีเหมือนกัน
หลังจากกินอาหารเสร็จเรียบร้อยไม่นานกัปตันก็สั่งให้คาดเข็มขัดเพื่อนที่จะ Landing ลงสนามบินดูไบแล้ว พอถึงสนามบินเราก็ลงจากเครื่อง ซึ่งไม่ต้องไปรับกระเป๋าที่โหลดใต้เครื่องนะครับ เราจะได้กระเป๋าอีกทีตอนถึงปลายทางเลย ขั้นตอนนี้ถือว่าสะดวกมาก ๆ แต่ว่ากระเป๋า carry on เราจะต้องถูกด่านตรวจอีกครั้ง พอผ่านด่านตรวจแล้วเราก็จะเข้ามาที่ terminal เพื่อรอเปลี่ยนเครื่องเลย ตอนนี้อยู่ที่ใคร Transit นานเท่าไหร่ ถ้าเวลาน้อยก็ต้องรีบไปหน้าเกตขึ้นเครื่องเลย ของผมเวลา transit ประมาณ 3 ช.ม. แต่กว่าผ่านด่านตรวจก็ปาไป ชั่วโมงกว่า ๆ แล้ว เหลือเวลาให้ช็อปไม่นานเท่าไหร่ ก็ต้องไปรอหน้าเกตแล้ว
พอถึงเวลาก็ขึ้นเครื่อง ขาต่อไปเวนิสจะบินด้วย B777-300ER ข้อเสียคือเก้าอี้นั่งจะแคบเหลือ 17 นิ้ว (A380 กว้าง 18 นิ้ว) ลดลง 1 นิ้ว คนอ้วนๆแบบผมค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก หลังจากที่เครื่องบิน take off ได้ประมาณ 1 ช.ม. พนักงานก็เริ่มเสิร์ฟอาหารกลางวัน ซึ่งในมื้อนี้ผมเลือกเป็นสเต๊กไก่ราดซอสบาร์บีคิว มีผักอบและมันฝรั่งเป็นเครื่องเคียง ความอร่อยมื้อนี้ผมให้เต็มสิบ (จริง ๆแล้วจะมีให้เลือกเป็นสเต๊กไก่หรือเนื้อก็ได้นะครับ) แต่ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่เดินทางไกล ๆแล้วเกิดอาการ Jet lag (อาการ งง เวลา) อาจจะทำให้อ่อนเพลียหรือไม่หิวได้ วิธีแก้คือสั่งไวน์มากินครับ เอาให้กริ่ม ๆแล้วหลับไปเลย ขอบอกเลยว่าไวน์บนนี้สามารถสั่งได้ไม่อั้นนะครับ บอกแล้วสายการบินนี้ป๋าจริง ๆ
เมื่อกินข้าวเสร็จได้สักพักเครื่องบิน ก็บินอยู่เหนือน่านฟ้าตุรกี พอมองลงไปอู้วหูวสวยยมาก ผมนี่ลุกขึ้นไปหยิบกล้องใหญ่ในช่องเก็บของมาถ่ายรัว ๆ เลย แต่หลังจากผ่านไปไม่นาน ก็ด้านล่างเริ่มมีเมฆอีกครั้ง ความรู้สึกคือไม่มีอะไรทำนึกขึ้นได้ว่าเขามีเน็ตให้เล่นฟรี 20 MB นี่หว่า แม้มันจะดูน้อยแต่ก็เพียงพอใช้ส่งข้อความไลน์ถึงคนรักที่เมืองไทยได้ หรือใครไม่พอจะซื้อเน็ตเพิ่มก็ได้นะครับ 500 MB ราคา 1 ดอลลาร์(30กว่าบาท) เล่นได้ตลอดจนถึงจุดหมายปลาทางเลย ส่วนแรงหรือไม่นั้น ก็ตามมาตรฐานบนเครื่องบินอะครับ น่าจะประมาณ 512 Kbps ได้ เพราะสัญญาณนี้จะส่งผ่านดาวเทียม อ้อแล้วก็ถ้าใครจะซื้อเน็ตจากไทยไปดูไบหรือดูไบมาไทย อาจจะไม่คุ้มนะครับ เพราะเวลาผ่านน่านฟ้าอินเดีย Wi-Fi จะเล่นไม่ได้ครับ เนื่องจากเป็นกฎการบินของอินเดีย ซึ่งเราจะใช้เวลาผ่านน่านฟ้าอินเดียราว ๆ 2 ช.ม. เลย
ข้อสรุปและความคิดเห็นส่วนตัว
ความสบายของที่นั่ง 4/5 (-1 ตรงที่เครื่อง B777-300ER ที่นั่งแคบไปหน่อย)
อาหารและเครื่องดื่ม 4/5 (รสชาติใช้ได้ ชอบตรงไวน์ขอได้ไม่อั้นนี่แหละ ไวน์อร่อยด้วย 555)
การบริการของพนักงาน 4/5(เห็นหลายคนติเรื่องพนักงานเยอะ สำหรับผมพนักงานโอเคทุกคนนะ แม้จะดูแข็งๆไปบ้าง)
Entertainment 5/5 (มีอะไรให้ดูเยอะมาก ไม่ให้เต็มก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว)
ความเหมาะสมของตารางเที่ยวบิน 3/5 (เที่ยวบินไปเวนิสกว่าจะถึงก็บ่ายโมงพอดี ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีไฟล์ทไปถึงเช้าที่นั่น)
*** หลักเกณด้านบนใช้มาตรฐานของสายการบิน Full Service นะครับ
คะแนนรวม 4.0/5.0 (ถ้าใครต้องต่อเครื่อง transit อยู่แล้ว Emirate ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเดินทางเลย)