ภูทับเบิก
Highlight
- ภูทับเบิกมีทะเลหมอกได้เกือบทุกวันในช่วงฤดูฝน แต่จะสวยอลังการมากที่สุดในช่วงปลายฝนต้นหนาว หรือก่อนลมหนาวจะมาระลอกแรก 1 เดือน ซึ่งตรงกับช่วงเดือนกันยายน ส่วนช่วงฤดูหนาวเหมาะกับการมารับลมหนาวเท่านั้น ทะเลหมอกต้องลุ้น ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมี มักเห็นเป็นชั้นหมอกแดดมากกว่า
- ภูทับเบิกล่าแสงเย็นพอได้ แต่จะไม่เห็นพระอาทิตย์ตกดินโดยตรง และไม่เหมาะจะมาล่าดาว เนื่องจากมลภาวะทางแสงสูงมาก
- ในเรื่องของวิว Landscape บริเวณไร่ริมผาเน้นวิวธรรมชาติทะเลหมอก ส่วนยอดภูทับเบิกเน้นวิถีชาวบ้านแล้วฉากหลังเป็นทะเลหมอกกว้างไกล
- ร้านอาหารบนภูทับเบิก รสชาติคล้าย ๆกันหมด ดังนั้นถ้าหิวเดินเข้าร้านไหนก็ได้
- เส้นทางขึ้นภูทับเบิกมือใหม่หรือมาจากพิษณุโลกให้ไปทางนครไทย แต่ถ้ามั่นใจว่าขับได้(มือเก่า)แล้วอยากได้วิวข้างทางสวย ๆให้ไปเส้นทางหล่มเก่า เพรชบูรณ์
1. ภูทับเบิก จุดเริ่มต้นสายเที่ยวล่าทะเลหมอก
“ภูทับเบิก” เป็นแนวทิวเขาที่มีทัศนียภาพสวยงามแห่งหนึ่งของภาคกลาง แน่นอนเป็นหนึ่งในเป้าหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่อยากเริ่มต้นเที่ยวภูเขา ดูทะเลหมอกสวย ๆ ยิ่งในช่วงฤดูฝนแล้วความอลังการของทะเลหมอกอยู่ในระดับสิบกะโหลก หรือต่อให้ไม่มีทะเลหมอกภูทับเบิกก็ยังมี Landscape ที่สวยงามอยู่ดี ภูทับเบิกถือเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเพรชบูรณ์มีลักษณะเป็นภูเขายอดตัดหน้าผาสูงชัน ความสูงเฉลี่ยตามแนวสันเขาประมาณ 1,100 -1,600 เมตร และมียอดภูทับเบิก เป็นยอดเขาสูงสุดของจังหวัดเพรชบูรณ์ ซึ่งสูงประมาณ 1,768 เมตร แน่นอนว่าบนนี้สามารถสัมผัสอากาศเย็นได้ตลอดทั้งปี แล้วที่สำคัญคืออยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ทำให้การเดินทางค่อนข้างง่ายขับรถไม่เหนื่อยมาก ดังนั้นในช่วงวันหยุดยาวหรือเทศกาลคนจะเยอะมาก ยิ่งเป็นช่วง High Season ด้วยแล้วแทบไม่ต้องพูดถึง ลานกางเต็นท์คือไม่พอเลย ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้มาช่วงวันปกติจะดีที่สุด
2. ภูทับเบิกไปช่วงหน้าไหนดี? แต่ละช่วงสวยต่างกันยังไง
หมู่บ้านทับเบิกตั้งอยู่บนความสูงเฉลี่ยราว ๆ 1,350-1,600 เมตร จึงทำให้ที่นี่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และมีอากาศหนาวจัดในช่วงฤดูหนาว เรียกได้ว่าถ้าอยากสัมผัสอากาศเย็นแบบเดินทางไม่ไกลจากเมืองหลวงก็ต้องมาภูทับเบิกนี่แหละครับ ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละเดือนตามตารางด้านล้างเลยครับ (อ้างอิงจากหมู่บ้านม้งระดับความสูงเฉลี่ย 1,600 เมตร จากระดับทะเล และอยู่เหนืออำเภอหล่มสัก 1,500 เมตร)

ภูทับเบิก หน้าฝน (เดือนมิถุนายน-สิงหาคม) เป็นช่วงที่ธรรมชาติภูทับเบิกสวยงาม แต่ยังไม่สุด อากาศเย็นตลอดทั้งวัน ต้นไม้สีเขียว ช่วงนี้ทะเลหมอกเกิดได้เกือบทุกวัน แต่อย่าลืมว่าบนนี้มันความสูงเดียวกับระดับเมฆชั้นต่ำพอดี ทำให้มีโอกาสเกิดท้องฟ้าปิดได้ตลอดทั้งวันเช่นกัน โอกาสเจอแสงสวย ๆ ช่วงนี้จะน้อยมาก โดยเฉพาะช่วงที่ลมมรสุมฤดูฝนกำลังแรงหรือมีพายุหมุนเขตร้อนเข้า ดังนั้นใครจะมาเที่ยวช่วงฤดูฝนควรดูพยากรณ์อากาศก่อนนะครับว่าเป็นช่วงลมมรสุมแรงหรือไม่ แนะนำให้มาช่วงที่ลมมรสุมอ่อนกำลังลงหรือฝนทิ้งช่วงนะครับ สรุปง่าย ๆ ช่วงนี้มีทะเลหมอก แต่แสงไม่ค่อยสวย และอาจเจอเมฆปิดทั้งวันได้
ภูทับเบิก ปลายฝนต้นหนาว (เดือนกันยายน-กลางตุลาคม) เป็นช่วงที่ภูทับเบิกสวยอลังการสุด เนื่องจากฝนเริ่มลดลง ส่วนใหญ่ฝนจะตกประมาณ 2-3 ชั่วโมง ประมาณช่วงบ่ายถึงกลางคืน พอใกล้ๆเช้าก็หยุดตก แล้วยิ่งวันไหนฝนตกกลางคืน ตอนเช้ามีโอกาสเกิดทะเลหมอกสูงมาก ลุ้นแค่ว่าท้องฟ้าเมฆชั้นบนจะเปิดให้แสงอาทิตย์ลอดผ่านสวยหรือไม่ ถ้าวันไหนฟ้าเปิดบอกเลยว่าสุดมาก ส่วนเรื่องของอากาศช่วงนี้บนภูทับเบิกจะเย็นชื้น ๆเหมือนกับฤดูฝน ในตอนกลางวันถ้าแดดออก ตรงกลางแจ้งก็ร้อนได้เหมือนกัน ช่วงนี้จะต่างกับหน้าฝนคือมีโอกาสเจอทะเลหมอกพร้อมกับแสงสวย ๆได้มากกว่า
ภูทับเบิก หน้าหนาว (กลางเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์) เป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นมากที่สุด ตอนกลางวันแดดแรง แต่ถ้าอยู่ในร่มก็ไม่ร้อน ส่วนทะเลหมอกจะมีหรือไม่มีก็ขึ้นอยู่กับว่าลมหนาวแรงหรือไม่ ถ้าลมหนาวแรงบอกเลยว่าไม่มี ซึ่งจะเห็นเป็นชั้นหมอกแดดแทน(ผมไม่ถือว่าเป็นทะเลหมอกนะ) ทะเลหมอกช่วงนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อลมหนาวเริ่มอ่อนกำลังลง(ลมที่ว่านี่คือลมระดับล่างใกล้พื้นดินนะครับ ไม่เกี่ยวกับบนยอดภูทับเบิก เพราะในช่วงหน้าหนาวบนยอดภูลมจะแรงเป็นปกติอยู่แล้ว) โดยสรุปผมให้ช่วงนี้เหมาะกับการมารับลมหนาวมากกว่ามาล่าทะเลหมอก ส่วนป่าเขาต้นไม้ช่วงนี้เริ่มไม่ค่อยเขียวแล้ว
ภูทับเบิก หน้าร้อน (เดือนมีนาคม-พฤษภาคม) ในตอนเช้าอากาศยังหนาวอยู่นะครับ ตอนกลางวันอากาศกำลังดี แต่แดดแรงไปหน่อย ส่วนทะเลหมอกแทบไม่ต้องหวัง เอาชั้นหมอกแดดไปแทนละกัน ช่วงนี้มีโอกาสเกิดฝนหรือพายุฤดูร้อนได้บ้าง ถ้ามีฝนถือว่าโชคดีเพราะหลังฝนตกจะมีหมอกขึ้นตามภูเขา สำหรับผมแล้วช่วงนี้ไม่ค่อยเหมาะกับสายล่าธรรมชาติสวยๆเท่าไหร่ เนื่องจากทะเลหมอกแทบไม่ค่อยมีแล้ว ป่าไม้ช่วงนี้ยังออกโทนสีน้ำตาลอีกด้วย ผมเองไม่เคยไปช่วงนี้เหมือนกัน แต่เท่าที่ดูรูปจากคนอื่นแล้วก็ขอบายดีกว่าฮ่า ๆ
ส่วนเรื่องของการเก็บแสงเย็นที่ภูทับเบิกเป็นอะไรที่ไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่ นี่ถือเป็นข้อเสียของภูทับเบิกเลย เนื่องจากจุดชมวิวทะเลหมอกจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทำให้ไม่เห็นพระอาทิตย์ตกในช่วงเย็น ถ้าจะไปเก็บพระอาทิตย์ตกดินต้องไปดูที่ภูแผงม้าหรือผาหัวเสือ เพราะจะหันไปทางทิศตะวันตกพอดี สำหรับใครที่มาช่วงฤดูฝน ถึงแม้ว่าที่ภูทับเบิกจะไม่เห็นพระอาทิตย์ตกโดยตรง หากโชคดีฟ้าหลังฝนเปิดในช่วงเย็น ก็จะได้ทะเลหมอกพร้อมแสงทองตอนเย็น + รุ้งกินน้ำ แบบในภาพด้านล่างนี้แหละครับ (อยากเจอแบบนี้ต้องมาหน้าฝนเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆนะครับ
สำหรับการล่าดาวที่ภูทับเบิกนั้นทำได้ยากมากถึงมากที่สุด เนื่องจากแสงไฟของเมืองหล่มสัก หล่มเก่า เมืองเพรชบูรณ์ หรือแม้กระทั่งไฟจากรีสอร์ทบนภูทับเบิกฟุ้งกระจายทำให้มลภาวะทางแสงสูงมาก แนะนำว่าถ้าจะไปล่าดาวจริง ๆให้ไป ดอยเสมอดาว เถอะครับ ดาวสวยจัดชัดจริงมาก
3. แล้วภูทับเบิกไปช่วงเดือนไหน ได้ทะเลหมอกอลังการสุด
แม้ว่าช่วงหน้าฝนโอกาสเจอทะเลหมอกเยอะก็จริง แต่ก็มีโอกาสที่เจอเมฆปิดตลอดทั้งวันได้เช่นกัน ดังนั้นสำหรับผมแล้วช่วงที่ทะเลหมอกอลังการที่สุดจะเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวหรือราว ๆเดือนกันยายน หรือก่อนลมหนาวระลอกแรกจะลงมาประมาณ 1 เดือน อันนี้ขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าใครที่มีโอกาสได้มาช่วงปลายฝนต้นหนาวแล้วเจอฝนตกลมแรงตอนกลางคืนไม่ต้องตกใจนะครับ ให้พึงเสมอว่าฟ้าหลังฝนตกมักจะเกิดทะเลหมอกสวยงามเสมอ โดยส่วนใหญ่แล้วฝนจะหยุดตกก่อนพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าประมาณ 1 ช.ม. แล้วมาลุ้นว่าในตอนเช้าท้องฟ้าหรือเมฆชั้นบนจะเปิดหรือไม่ ถ้าเปิดก็เตรียมพบกับความอลังการของธรรมชาติได้เลย(อันนี้ต้องลุ้นและอาศัยโชคนิดนึง) แนะนำให้ดูพยากรณ์อากาศว่าช่วงนั้นร่องมรสุมอ่อนลงหรือยัง ถ้าเริ่มอ่อนแล้วค่อยมา(ที่พัก walk in มาได้เลย ช่วงนี้คนไม่เยอะ ไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้านาน) แต่ถ้าขี้เกียจดูว่าลมมรสุมอ่อนหรือยังเอาเคล็ดลับไปเลย “จากความเห็นของนักล่าทะเลหมอกบนภูทับเบิกและคนในท้องถิ่นแล้ว เห็นตรงกันว่าวันที่ 5 – 6 กันยายน ของทุกปีมักจะเป็นช่วงที่ภูทับเบิกมีทะเลหมอกและแสงสวยมากที่สุด จนถูกขนานนามว่าเป็น “วันชาติทะเลหมอกของภูทับเบิก” (ถ้าเป็นไปได้ควรนอนสัก 2 คืนครับ คืนวันที่ 5 กับวันที่ 6 กันเหนียว เพราะอย่าลืมว่าอากาศบนภูเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้) ตั้งแต่ปี 2013 เป็นแบบนี้เกือบทุกครั้ง(ยกเว้น ปี 2019) ส่วนก่อนหน้านั้นยังไม่เคยมีคนบันทึกเลยไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่เอาเป็นว่าถ้ามาตามวันที่ผมบอกโอกาสสูงมากที่จะได้ทะเลหมอกพร้อมกับแสงสวย ๆ
แล้วทะเลหมอกฤดูฝนบนภูทับเบิกต่างจากทะเลหมอกที่อื่นยังไง? โดยปกติแล้วทะเลหมอกตามภูหรือดอยต่าง ๆในช่วงฤดูหนาวส่วนใหญ่จะเป็น หมอกแบบแผ่รังสี (Radiation Fog)หรือมีลักษณะเป็นแผ่น ๆที่เกิดจากการคายความร้อนของพื้นดินในคืนที่มีอากาศเย็นและท้องฟ้าแจ่มใส แต่ในขณะที่ทะเลหมอกของภูทับเบิกในช่วงฤดูฝนจะมีลักษณะแบบก้อน ๆคล้ายปุยเมฆ หรือจะเรียกว่า “ทะเลเมฆ” ก็ได้ ซึ่งเกิดจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้(ลมมรสุมประจำฤดูฝน)พัดผ่านด้านบนภูเขาจึงเกิดการดึงอากาศชื้นด้านล่างหุบเขาลอยตัวขึ้นมาแล้วขยายตัวเย็นลงจนไอน้ำกลั่นตัวกลายเป็นหมอก แล้วพอสาย ๆเมื่อพื้นดินได้รับความร้อนทะเลหมอกนี้ก็อาจจะยกตัวกลายเป็นเมฆฝนได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าขึ้นมาตอนบ่ายแล้วเจอฝนหรือเมฆปิดทึบไม่ต้องตกใจถือเป็นเรื่องธรรมดาไม่นานเดี๋ยวเมฆก็เปิด(ยกเว้นลมมรสุมมาแรงจริง ๆก็อาจจะปิดได้เป็นวันเหมือนกัน) และอีกสาเหตุที่ทำให้ทะเลหมอกไม่ได้ถูกพัดพาไปไหนก็เพราะว่าในช่วงมรสุมฤดูฝนบริเวณหุบเขาด้านทิศตะวันออก(ฝั่งหล่มสัก)จะเป็นด้านหลังลมนั่นเอง แน่นอนว่าฝั่งนี้ลมจะค่อนข้างนิ่งทะเลหมอกจึงไม่ถูกพัดพาไปไหน และความ Amazing ของฤดูฝนคือทะเลหมอกสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวัน ไม่จำเป็นต้องตอนเช้าเหมือนทะเลหมอกช่วงฤดูหนาวตามดอยต่าง ๆทางภาคเหนือ
ดังนั้น คำถามที่ว่า “ภูทับทับเบิก” ไปช่วงไหนสวยที่สุด ทะเลหมอกเยอะที่สุด? คำตอบก็คือ “ช่วงปลายหน้าฝน หรือเดือนกันยายน” เพราะเป็นช่วงที่ภูทับเบิกมีทะเลหมอกพร้อมกับแสงสวยๆในตอนเช้า หากมาหน้าฝนเพียว ๆอาจจะเจอทะเลหมอกได้ แต่แสงอาจไม่สวย
ทำไมไปภูทับเบิกช่วงฤดูหนาวทีไรไม่เคยเจอทะเลหมอกสักที? ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ของแอ่งเพรชบูรณ์มีความกว้างเกินกว่าจะเป็นแอ่งหุบเขาอับลมเหมือนกับดอยหรือภูอื่น ๆ เมื่อลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ(ลมประจำฤดูหนาว)พัดมาจากจีน จะพัดทะเลหมอกที่เกิดจากการแผ่รังสีกระจายหายหมด แม้ว่ากลางคืนจะหนาวเหน็บและท้องฟ้าโปร่งแค่ไหน ถ้ามีลมแรงทะเลหมอกก็ไม่มีวันเกิด แล้วยิ่งช่วงความกดอากาศสูงแผ่ลงมาจากจีนแรง ๆหลายคนมักเข้าใจผิดว่าหนาวมากหมอกต้องเยอะแน่ ๆ แต่ความเป็นจริงแล้วช่วงนี้คือลมหนาวจะมีความแรงมากที่สุด ดังนั้นทะเลหมอกตอนเช้าไม่ต้องหวัง น่าจะมีแต่ชั้นหมอกแดดให้ชมแทน และเนื่องจากว่าภูทับเบิกอยู่สูงกว่า 1,500 เมตร แล้วบริเวณที่ราบสูงอีสานไม่มีภูเขาสูงมากกว่า 1,500 เมตร คอยช่วยเบรกลม(ใครอยู่อีสานจะรู้ว่าหน้าหนาวลมแรงมาก) ดังนั้นลมระดับบน 1,500 เมตร จะพัดปะทะภูทับเบิกเต็ม ๆ แน่นอนว่าในฤดูหนาวนอกจากทะเลหมอกจะไม่ค่อยมีแล้วลมหนาวยังพัดได้สะท้านอีกด้วย ดังนั้นฤดูหนาวจึงเหมาะกับการมารับลมหนาว แต่ไม่เหมาะกับการล่าหมอกเป็นอย่างยิ่ง
4. ไร่ริมผากับยอดภูทับเบิกตรงไหนวิวสวยกว่า
เมื่อมาถึงภูทับเบิกแล้ว ก็มีจุดชมวิวหลายจุดมาก ๆ แต่ที่คนนิยมชอบไปจะมีไร่ริมผากับยอดภูทับเบิก เรื่องความสวยงามสำหรับผมแล้วพอๆกัน อยู่ที่ว่าเราจะเก็บภาพแนวไหน แนวธรรมชาติทะเลหมอกเน้น ๆ หรือภาพชุมชนความเป็นอยู่ของมนุษย์แล้วฉากหลังเป็นทะเลหมอก แล้วไปตรงไหนได้อย่างไรตามที่ผมเขียนด้านล่างเลย
ไร่ริมผา จะออกแนวเก็บธรรมชาติทะเลหมอกภูเขาเน้น ๆ และใกล้ชิดกับทะเลหมอกมากที่สุด บางครั้งหมอกลอยขึ้นมาถึงจนสัมผัสได้เลย และมุมนี้จะเห็นแนวทิวเขาด้านทิศใต้(เขาค้อ) ในวันที่ทัศนวิสัยดีสามารถเห็นได้ไกลยันกังหันลมเขาค้อเลยนะครับ สายธรรมชาติผมเชียร์จุดนี้ครับ
ยอดภูทับเบิก เนื่องจากจุดนี้จะอยู่สูงกว่าหมู่บ้านทับเบิก การเก็บภาพจะออกแนวหมู่บ้านวิถีชีวิตแล้วมีทะเลหมอกเป็นฉากหลังที่กว้างไกล ใครที่ชอบสายวิถีชีวิตหรือมีเลนส์ระยะ 85 mm(FX)หรือ 50mm(DX) แนะนำให้มาจุดนี้เลยครับ ถ้าโชคดีในตอนเช้าแสงสวยอาจจะได้เจอหมอกย้อมแสงทองแล้วมีพระธาตุเป็นองค์ประกอบ บอกเลยว่าสุดมาก สุดท้ายแล้วเพื่อไม่ให้คาใจให้ไปทั้งสองจุดนั่นแหละครับ ฮ่า ๆ เดินออกกำลังบ้าง แนะนำให้เก็บยอดภูทับเบิกก่อนแล้วค่อยลงไปไร่ริมผา
5. ไปภูทับเบิก พักที่ไหน กินที่ไหนดี
ต้องยอมรับเลยว่า ที่ผมสามารถเขียน step การเกิดทะเลหมอกได้ขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะสนใจภูมิอากาศมาตั้งแต่เด็ก แต่จะไม่สามารถเขียนได้เลยถ้าไม่ไปเฝ้าสังเกตจริง ๆ ผมเองอยู่ที่นี่ประมาณ 3 วัน 2 คืนครับ เพื่อที่จะสังเกตสภาพอากาศภูเขาในช่วงหน้าฝนจริง ๆ(มาคืนเดียวโอกาสพลาดทะเลหมอกพร้อมแสงสวย ๆจะน้อยมาก) อย่าลืมว่าอากาศบนภูเขาไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้ 100% แน่นอนเมื่อผมอยู่ที่นี่นานก็เลยมีโอกาสได้กินเกือบทุกร้านที่เปิดช่วงนั้น(มันมีไม่เยอะหรอก เพราะไม่ใช่ช่วง High Season) ในเรื่องร้านอาหารทุกมื้อผมกินต่างร้านหมด บอกได้เลยว่ารสชาติเหมือนกันทุกร้าน อาหารจะค่อนข้างจืดและเผ็ดตามฉบับชาวม้งเลย จริง ๆแล้วผมมาภูทับเบิกไม่ได้ซีเรียสอาหารเท่าไหร่นะ ร้านอาหารแต่ละร้านก็วิวดีทุกร้าน เอาเป็นว่านั่งกินข้าวจริง ๆ 10 นาที แต่นั่งกินลมชมวิวเนี่ยใช้เวลาเป็นชั่วโมงเลย
ส่วนเรื่องของที่พักแล้ว ภูทับเบิกมีรีสอร์ทผุดมากมาย ผมเองก็ดูแค่ว่า วิวสวยพอนอนได้ ราคาไม่แพงนัก โทรไปถามเลย แล้วก็ช่วงฤดูฝนคนไม่ค่อยเยอะ ที่พักจึงว่างเยอะมากและราคาก็ถูกมากเช่นกัน ดังนั้นเราสามารถดูพยากรณ์อากาศแล้วค่อยจองที่พักล่วงหน้า 1-2 วัน ก็ได้ จะได้ไม่พลาดจังหวะธรรมชาติสวย ๆ สำหรับใครที่ขี้เกียจหาที่พักจากเว็บอื่น ผมได้คัดเลือกที่พักไว้ให้แล้ว ตามด้านล่างนี้เลย
ภูกาเดน รีสอร์ท ภูทับเบิก เบอร์โทร ไร่ริมผา เบอร์โทร 086-000-4222 , 097-950-6869
ไร่ริมผา เบอร์โทร 084-822-2625
ริมผารีสอร์ท เบอร์โทร 087-203-5957
6. ไปภูทับเบิก ใช้เส้นทางไหนดี
หลายคนมักคิดว่าทางขึ้นภูทับเบิกค่อนข้างโหดแล้วยิ่งช่วงฤดูฝนหลายคนขอบายที่จะไม่ขึ้น ซึ่งผมบอกตรง ๆเลยว่าโคตรพลาด จริง ๆแล้วภูทับเบิกไม่ได้ขับขึ้นยากขนาดนั้น ผมคิดว่าถ้าขับรถมาเกิน 1 ปี ขับขึ้นไปได้ทุกคน ซึ่งภูทับเบิกก็ไม่ได้มีเส้นทางขึ้นเส้นเดียว หลัก ๆ ก็จะมี 2 เส้นตามด้านล่างเลย(ไม่นับทาง GPS พาหลงแล้วรถธรรมดาขึ้นไม่ได้นะครับ) ถ้าใครรู้สึกว่ากลัวหรือมือใหม่หัดขึ้นเขา แนะนำให้ไปขึ้นเส้นนครไทยเลยครับ
- เส้นทางหล่มเก่า ขึ้นทางอำเภอหล่มเก่า เป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดหากมาทางเพรชบูรณ์เป็นทางขึ้นปกติที่คนนิยมขึ้น ถนนลาดยางดี แต่ด้วยถนนมีความโค้งตลอดและขาขึ้น ขึ้นอย่างเดียว ขาลง ลงอย่างเดียว ต้องใช้ทักษะในการขับรถขึ้นเขานิดหน่อย ทริคเล็ก ๆสำหรับรถเบนซินขาขึ้นให้เลี้ยงเครื่องไม่เกิน 3,500 รอบ(เกินได้แต่ต้องรีบเอาลง) ไม่ต้องรีบขึ้นเวลาเจอรถที่กำลังจะแซงเราให้ตบไฟเลี้ยวซ้ายให้เขาแซงไปก่อน ส่วนขาลงให้ใช้เกียร์ต่ำช่วยเบรก(Engine Break) ไม่ควรเหยียบเบรกค้างยาว เมื่อถึงทางโค้งค่อย ๆ แตะเบรก จำเอาไว้ว่าขาลงใช้เบรกให้น้อยที่สุด แล้วใช้เกียร์ให้สัมพันธ์กับรอบความเร็ว เช่น เข้าเกียร์ 1 แล้วรอบเกิน 3,000 มีสองทางคือแตะเบรกหรือเปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 รับรองทำตามนี้ปลอดภัยเบรกไม่ไหม้แน่นอน
- เส้นทางนครไทย ขึ้นทางอำเภอนครไทย เส้นทางใกล้สุดถ้ามาทางพิษณุโลก เส้นทางนี้เหมาะสำหรับมือใหม่ จะมีช่วงโค้งชันแค่ช่วงแรกเท่านั้น ที่เหลือก็จะไต่ภูเขามีโค้งไปมาเรื่อย ๆไม่ชันมาก ข้อควรระวังของเส้นนี้คือผิวถนนชำรุดช่วงเลยภูหินล่องกล้าไปจนถึงบ้านทับเบิก(ไม่รู้ตอนนี้ซ่อมยังล่าสุด กันยา 2562 ) ทางนี้จะใช้เวลามากกว่าเส้นหล่มเก่า อันที่จริงแล้วเส้นทางก็คือทางไปภูหินร่องกล้าหรือภูลมโลแหละครับ
ถ้าหากชื่นชอบเนื้อหาหรือบทความ สามารถเข้าไปติดตามข้อมูลการท่องเที่ยวดี ๆ ได้ในเพจ the Sunsight ได้เลยครับ