วัดพระธาตุดอยกองมู
Highlight
- วัดพระธาตุดอยกองมู จุดชมวิวมุมสูงของเมืองแม่ฮ่องสอน ที่สามารถดูทะเลหมอกตอนเช้า เก็บแสงเย็น และชมไฟเมืองแม่ฮ่องสอนตอนกลางคืนได้ในสถานที่เดียว และสิ่งที่ห้ามพลาดในตอนกลางคืน คือองค์พระธาตุเจดีย์จะเปิดไฟประดับ สามารถถ่ายไฟแฉกสวย ๆไปอวดเพื่อนได้
- ถ้าไม่อยากพลาดทะเลหมอกตอนเช้า ต้องมาช่วงเดือนมกราคม มีโอกาสเจอทะเลหมอกแทบทุกวัน ควรมาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นสัก 1 ชั่วโมง ส่วนใครจะเก็บแสงเย็น แนะนำให้เดินไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน ตรงนี้จะเก็บแสงเย็นได้ดีกว่าฝั่งด้านลานชมเมือง ซึ่งจุดชมวิวนี้จะอยู่บนเนินเขาด้านหลังวัด(ใกล้กับลานจอดรถ) จะมีถนนคอนกรีตให้เดินขึ้นไปอยู่
- ทางขึ้นไปพระธาตุฯ อยู่ใกล้เมือง รถยนต์สามารถขึ้นไปได้ลานจอดกว้าง ส่วนใครไม่มีรถก็สามารถเดินขึ้นบันไดหลังวัดพระนอนได้เหมือนกัน
1. วัดพระธาตุดอยกองมู จุดชมวิวเมืองแม่ฮ่องสอน
เมื่อพูดถึงจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้ว นักเดินทางหลายคนก็คงนึกถึง “วัดพระธาตุดอยกองมู” กันเป็นสถานที่แรก ๆ(ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะที่นี่ออกข่าวท่องเที่ยวทุกปี ฮ่า ๆ) “วัดพระธาตุดอยกองมู” ตั้งอยู่บนดอยกองมูที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 380 เมตร และอยู่สูงกว่าเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 110 เมตร ทำให้บนนี้ นอกจากเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนในมุมมสูงได้ครอบคลุมแล้วยังเห็นแนวเทือกเขาถนนธงชัยสูงตระหง่านเป็นฉากหลังด้านทิศตะวันออกได้อย่างงดงาม จนมีนักเดินทางหลายคนบอกว่า “ถ้าไม่มาพระธาตุดอยกองมูเนี่ย ถือว่ายังมาไม่ถึงแม่ฮ่องสอน” และยกให้ที่นี่เป็นหนึ่งในวัดที่มี Landscape สวยงามของแม่ฮ่องสอนด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามเมื่อได้มาแม่ฮ่องสอน ก็ไม่ควรพลาดพระธาตุดอยกองมูเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับผมแล้วบริเวณพระธาตุดอยกองมู ไม่ว่าจะเป็นสายท่องเที่ยวตามธรรมชาติ สายไหว้พระ สายถ่ายรูป ก็มาได้หมด และที่ไม่ควรพลาดจริง ๆก็คือสายถ่ายรูป เพราะบนนี้เราสามารถเก็บได้ทั้งแสงเช้า แสงเย็น และแสงไฟยามค่ำคืนได้ในสถานที่เดียวกัน ยิ่งในช่วงเช้าของฤดูหนาวแล้วเหล่านักล่าทะเลหมอกได้จัดเต็มแน่นอน เนื่องจากแม่ฮ่องสอนมีเป็นลักษณะหุบเขา แน่นอนว่าทะเลหมอกที่นี่จะขยันกันทำงานมาก บางวันทะเลหมอกทำโอทียัน 10 โมงเช้า เลยก็มี
2. พระธาตุดอยกองมู แต่ละช่วงเวลาต่างกันยังไง
บริเวณวัดพระธาตุดอยกองมู แต่ละช่วงเวลาก็มีความสวยงามของธรรมชาติแตกต่างกัน แล้วแต่ว่าใครจะสะดวกมาช่วงเวลาไหนก็ได้ แต่ถ้าให้ผมแนะนำก็ควรมาตอนเช้าหรือไม่ก็ตอนเย็นไปเลย ส่วนช่วงกลางวันจะขึ้นมาก็ได้ แต่จะไม่สวยเท่ากับตอนเช้า/เย็นเท่านั้นเอง ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็มีความสวยงามแตกต่างกันตามด้านล่างเลย
ตอนเช้า สำหรับผมแล้วให้ช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่สวยมากที่สุดของพระธาตุดอยกองมู เพราะช่วงนี้เองเราจะเห็นทะเลหมอกได้ ในฤดูหนาวทะเลหมอกมีได้เกือบทุกวัน ผมแนะนำให้ขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืด หรือก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 1 ช.ม. เผื่อใครไม่ได้เก็บแสงไฟพระธาตุตอนกลางคืนก็มาเก็บตอนช่วงเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับทะเลหมอกได้ แต่ข้อเสียของช่วงเช้าคือไม่สามารถเห็นตัวเมืองของแม่ฮ่องสอนได้ เนื่องจากมีทะเลหมอกปกคลุมหนามาก กว่าหมอกจะสลายก็ปาไป 8-9 โมงเช้านู่น
ตอนเย็น เป็นช่วงเวลาที่สวยรองลงมาจากตอนเช้า ช่วงนี้สามารถเก็บแสงเย็นพร้อมกับเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนได้ในแบบไม่ย้อนแสง พอถึงเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดินสัก 1 ชั่วโมง แนะนำว่าให้ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่จุดชมวิวด้านฝั่งทิศตะวันตกของวัดแทน ซึ่งจะสวยกว่าจุดชมวิวด้านตัวเมือง เพราะบริเวณลานชมเมืองเงาภูเขาหรือเงาของดอยกองมูจะเริ่มตกทอดไปยังเมืองแม่ฮ่องสอน ใครสาย Landscape คงรู้ดีว่าจะเกิดความมืดและสว่างไม่เท่ากันของภาพทำให้ถ่ายรูปออกมาไม่สวยและวัดแสงได้ยากมาก แล้วที่สำคัญคือลานชมเมืองจะไม่เห็นพระอาทิตย์ตกดิน
ตอนกลางคืน เมื่อเราชมพระอาทิตย์ตกดินเสร็จแล้ว แนะนำว่าอย่าพึ่งลงจากพระธาตุเด็ดขาด(ถ้ายังไม่หิว) เพราะว่าองค์เจดีย์พระธาตุจะเปิดไฟสวยงาม ผมถือว่าเป็นทีเด็ดของที่นี่เลยนอกเหนือจากทะเลหมอกแล้ว แนะนำให้ถ่ายรูปไฟกลางคืนขององค์พระธาตุและเก็บแสงไฟของเมืองแม่ฮ่องสอนก่อน เมื่อรูปภาพที่พอใจแล้วค่อยลงไปหาของกินที่ถนนคนเดินแม่ฮ่องสอนก็ได้ครับ(ถนนคนเดินมียันสี่ทุ่มไม่ต้องรีบลง)
3. พระธาตุดอยกองมูไปช่วงไหน? ถึงเจอทะเลหมอกฟุ้งๆ
หลายคนไปแล้วบอกว่าทำไมไม่เห็นมีทะเลหมอกเลย แล้วไปยังไงให้ได้เจอน้องหมอกฟุ้งๆ? อย่างแรกเลยนะครับ ต้องไปเช้า ๆ แนะนำว่าให้ไปตั้งแต่ 05:30 – 06:00 อย่างน้อยถ้าไม่มีทะเลหมอกฟุ้งๆก็จะได้ทะเลหมอกแบบบาง ๆ แทน แล้วถ้าอยากเห็นทะเลหมอกแบบฟุ้งๆแบบแน่ ๆ ก็ต้องมาช่วงเช้าของเดือนมกราคมครับ เพราะช่วงนี้มีโอกาสเกิดทะเลหมอกได้เกือบทุกวัน บางวันทะเลหมอกเยอะจนฟุ้งขึ้นมาจนบดบังทัศนวิสัยหมดเลยก็มี และถ้าหากเจอหมอกฟุ้งจนเกินไปแนะนำว่าให้รอประมาณ 10-15 นาที เดี๋ยวหมอกก็เปิด เมื่อเปิดแล้วก็รีบยิงชัดเตอร์รัว ๆ เพราะมันอาจจะปิดได้อีก พอตอนสาย ๆเมื่อแสงพระอาทิตย์เริ่มส่องมาพื้นดินจะเริ่มอุ่นขึ้น หมอกก็เริ่มจะฟุ้งลอยตัวขึ้น จังหวะนี้แหละครับจะได้ถ่ายองค์พระเจดีย์ที่ฉากหลังเป็นหมอกฟุ้ง ๆที่ถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์สีทองตอนเช้า
4. ไฟประดับองค์พระธาตุดอยกองมู ที่ไม่ควรพลาด
อีกหนึ่ง Highlight ที่หลายคนพลาดมาก ๆเลย คือการถ่ายแสงไฟประดับขององค์พระธาตุเจดีย์กองมู ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ามักจะรีบลงไปถนนคนเดินก่อน ผมแนะนำว่าถ้ายังไม่หิวให้รอชมไฟประดับองค์พระธาตุก่อนนะครับ ยิ่งใครที่อยากได้รูปสวยๆไปอวดเพื่อน แนะนำว่าให้อยู่ต่ออีก 1 ช.ม.หลังพระอาทิตย์ตกดิน เมื่อได้รูปที่พอใจแล้วค่อยลงไปหาของกินที่ถนนคนเดินก็ได้ ไม่ต้องรีบ ถนนคนเดินมันไม่ได้หนีเราไปไหน แต่ถ้าใครหิวก็ลงไปซัดของกินด้านล่างได้เลยแล้วเก็บแสงไฟเจดีย์วัดจองคำ-กลางแทนก็ได้สวยเหมือนกัน ก็แล้วแต่ว่าใครจะสะดวกแบบไหน แต่ถ้าแนะนำบนพระธาตุดอยกองมูสวยกว่า
สำหรับใครที่สงสัยว่าจะถ่ายยังไงให้ไฟเป็นแฉกแบบในภาพ บอกเลยว่า“ ไฟแฉกจะทำได้เฉพาะกล้อง DSLR หรือ MLR แล้วเปิด f16-22 ซึ่งจะต้องใช้ขาตั้งกล้องนะครับ” ถ้าไม่มีขาตั้งนี่ยากเลย เพราะว่าการที่เราเปิด f แคบขนาดนี้จำเป็นต้องใช้ Speed Shutter นานมากกว่า 8 วินาที แน่นอนไม่มีใครถือกล้องๆได้นานขนาดนั้น
5. เก็บแสงเย็นที่ขุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน ณ ดอยกองมู
หลายคนไม่รู้ว่าที่วัดพระะธาตุดอยกองมูมีจุดชมพระอาทิตย์ตกดินและเก็บแสงเย็นด้วย คนส่วนมากก็จะไปชมแสงเย็นที่ลานชมวิวฝั่งเมืองแม่ฮ่องสอน ทั้งที่จริงแล้ววัดพระธาตุดอยกองมูก็มีพื้นที่สำหรับจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินแบบเน้น ๆ ซึ่งจะอยู่ฝั่งด้านทิศตะวันตกของวัดจะมีถนนคอนกรีตขึ้นเนินเขาไปประมาณ 100 เมตร เดินขึ้นไปนะครับ รถห้ามขึ้น ซึ่งจุดชมวิวนี้จะเห็นแนวเทือกเขาฝั่งตะวันตกพร้อมกับพระอาทิตย์ตกดิน เนื่องจากมุมนี้จะเป็นป่าเขาล้วน ๆไม่มีคอนกรีตผสม ทำให้มีความสวยงามและเป็นธรรมชาติมากกว่าลานชมวิวเมืองค่อนข้างมาก
6. เดินชมองค์พระธาตุฯ ศิลปะแบบไทใหญ่
วัดพระธาตุดอยกองมู เดิมชื่อว่า “วัดปลายดอย” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดพระธาตุดอยกองมู” เป็นพระธาตุเจดีย์แห่งแรกของแม่ฮ่องสอน(ถ้าวัดแห่งแรกคือวัดจองคำ) ตั้งอยู่บนดอยกองมู (กองมู เป็นภาษาไทยใหญ่ หมายถึง เจดีย์) ประกอบด้วยพระธาตุเจดีย์ 2 องค์
พระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่ สร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2403 โดย จองต่องสู่และภรรยา(พ่อค้าชาวไทใหญ่) เพื่อเป็นที่บรรจุพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตร ที่พระอูปั่นเต็กต๊ะ ชาวเมืองตองกี่ ได้อัญเชิญมาจากเมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า องค์เจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทใหญ่ มีฐานแปดเหลี่ยมซ้อนกัน 3 ชั้น ประดับด้วยฉัตรยอดแหลม ประดับลวดลายปูนปั้น บริเวณฐานด้านล่างมีซุ้มเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิดทั้งแปดด้าน(8ทิศ)
พระธาตุเจดีย์องค์เล็ก สร้างโดย “พญาสิงหนาทราชา” เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก เมื่อปี พ.ศ. 2417 เป็นที่บรรจุพระอรหันตธาตุของพระโมคคัลลานะ ที่พระอูเอ่งต๊ะก๊ะ อัญเชิญมาจากเมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า องค์เจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทใหญ่ ประดับด้วยฉัตรยอดแหลม มีฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนสามชั้น ตรงมุมทั้งสี่ของฐานมีสิงห์ปูนปั้นประดับอยู่ บริเวณฐานด้านล่างมีซุ้มเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ทิศ
วิหารหลวงพ่อทันใจ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะแบบพม่า
สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปคงจะสังเกตได้ว่า ทำไมพระธาตุเจดีย์กองมูองค์เล็กถึงเอียง คือวัดสเกลในกล้องแล้วไม่ตรงสักที ตอนแรกผมคิดว่าสเกลระดับน้ำกล้องเสีย แต่แท้จริงแล้วพระธาตุกองมูเอียงจริง ๆ ครับ พึ่งมาเอียงได้เมื่อตอนปี พ.ศ. 2554 นี้เอง ซึ่งตอนนั้นจังหวัดแม่ฮ่องสอนเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ดินชั้นล่างอ่อนไหว และต่อมาเกิดแผ่นดินไหวซ้ำอีก ทำให้ฐานรากขององค์พระเจดีย์ทรุดเอียงลงไปทางทิศใต้ 20% เพราะว่าในสมัยก่อนการสร้างองค์เจดีย์ไม่ได้มีการคำนวณฐานรากเหมือนปัจจุบัน เมื่อเกิดภัยพิบัติก็ส่งผลต่อสิ่งก่อสร้างเก่าแก่เป็นเรื่องธรรามดา
7. การเดินทางไปวัดพระธาตุกองมู
ถ้าไม่นับขับรถ 1,864 โค้ง มาจังหวัดแม่ฮ่อง วัดพระธาตุดอยกองมูถือว่ามาง่ายมากครับ เพราะอยู่ติดกับเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งจะมีทางขึ้นมาจากเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นถนนคอนกรีตระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตรจากทางเข้า เมื่อขับรถขึ้นมาแล้วจะเจอทางโค้งหักศอก ซึ่งจะมีทางแยกอยู่ด้วย ให้ขับตามโค้งขึ้นไปห้ามไปเข้าแยกซ้ายมือเด็ดขาด ไม่งั้นจะหลงขึ้นไปสถานีทวนสัญญาณหลงไปแล้วจะหาที่กลับรถยากมาก พอเลยโค้งหักศอกก็ไปเรื่อย ๆ ข้างบนวัดมีลานจอดรถกว้างมาก เพียงพอต่อนักท่องเที่ยวแน่นอน มีร้านค้าขายของฝากด้วย ส่วนสำใครไม่มีรถ “พระธาตุดอยกองมู” สามารถเดินขึ้นทางบันไดได้นะครับ บันไดจะอยู่ในวัดพระนอนซึ่งก็ตั้งอยู่ในเมืองแม่ฮ่องสอนเลย