บ้านจ่าโบ่
Highlight
- จุดเด่นของบ้านจ่าโบ่ คือการมาดูทะเลหมอกตอนเช้า พร้อมกับกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขารับอากาศเย็น ๆ แล้วยิ่งวันไหนมีทะเลหมอกเยอะแบบจัดเต็ม หมอกจะคงทนอยู่ยาวนานยัน 9 โมงเช้า แต่ทะเลหมอกจะมีความเรียบเนียนสวยสุดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 10-15 นาที หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้วระวังหมอกอาจฟุ้งขึ้นมาได้เป็นครั้งคราว ส่วนใครที่จะมาเก็บแสงเย็นที่นี่โบกมือลาได้เลย นอกจากไม่เห็นพระอาทิตย์ตกดินแล้วยังเจอเงาภูเขาบังแสงทองบริเวณหุบเขาด้านล่างอีกด้วย
- สำหรับใครที่จะมาดูทะเลหมอก ควรไปช่วงเดือน กลางเดือน ต.ค. – พ.ย. เพราะเป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดทะเลหมอกเยอะแบบจัดเต็มมากที่สุด ส่วนใครไปหลังจากเดือน พ.ย. ทะเลหมอกอาจต้องลุ้น ยิ่งในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. โอกาสเกิดทะเลหมอกแทบไม่มี หรือหากมีก็น้อยมาก
- ที่บ้านจ่าโบ่ในตอนกลางคืนท้องฟ้าค่อนข้างมืด โดยเฉพาะท้องฟ้าด้านทิศตะวันออก ดังนั้นใครจะมาเก็บทางช้างเผือกควรมาช่วงเช้ามืดของเดือน มี.ค. – พ.ค เพราะทางช้างเผือกจะขึ้นขนานกับขอบฟ้าทางทิศตะวันออก แต่ถ้าใครมาช่วง ต.ค. – พ.ย. แสงไฟหมู่บ้านจะรบกวน เนื่องจากทางช้างเผือกจะอยู่ด้านทิศตะวันตกในตอนหัวค่ำ
1.บ้านจ่าโบ่ กับวิวทะเลหมอกสุดอลังการ
ใครก็ตามที่กำลังวางแผนเดินทางมาแม่ฮ่องสอนแล้วอยากดูทะเลหมอกสวย ๆ ในแบบที่ไม่ต้องเดินขึ้นเขาลำบาก “บ้านจ่าโบ่” ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ควรไปอย่างยิ่ง ด้วยที่ตั้งของบ้านจ่าโบ่อยู่บนเนินเขาสูงแล้วด้านล่างเป็นหุบเขามีภูเขาหินปูนน้อยใหญ่เรียงรายกันอย่างสวยงาม แต่มันจะสุดมากถ้าตื่นเช้าขึ้นมาแล้วพบกับทะเลหมอกที่กำลังไหลไปตามสันเขาแล้วมียอดภูเขาหินปูนโผล่พ้นหมอกขึ้นมา โดยปกติแล้วนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะแวะบ้านจ่าโบ่เพื่อมากินก๋วยเตี๋ยวห้อยขาชมวิวในช่วงสาย ๆถึงกลางวันเท่านั้น ซึ่งมันก็ได้บรรยากาศในระดับหนึ่งแต่ผมว่ามันยังไม่สุด เพราะความสวยงามจริง ๆแล้วมันอยู่ในช่วงเวลาเช้า ยิ่งเช้าวันไหนมีทะเลหมอกด้วยแล้วเอาไปเลยสิบกะโหลก ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ผมแนะนำให้แพลนมานอน”บ้านจ่าโบ่”รับอากาศเย็น ๆ สักหนึ่งคืนครับ รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน
บ้านจ่าโบ นอกจากมีวิวธรรมชาติสวย ๆแล้วบรรยากาศวิถีชีวิตภายในหมู่บ้านก็มีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลไม่แพ้กัน “บ้านจ่าโบ่” เป็นชุมชนของชาวมูเซอร์ดำ ซึ่งมีเชื้อสายมาจากชาวลาหู่ที่อพยพมาลำน้ำห้วยยาว เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2521 เนื่องจากเกิดการระบาดของโรค แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานหลายสิบปี ชาวลาหู่ที่อาศัยในหมู่บ้านจ่าโบ่ ก็ยังคงใช้ชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนที่เป็นแบบไม้ ภาษากับเครื่องแต่งกายที่ยังใช้แบบชาวลาหู่ จะมีเปลี่ยนแปลงแค่เทคโนโลยีที่เข้ามากับการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เริ่มหันมาทำโฮมสเตย์เป็นรายได้เสริมนอกจากการเลี้ยงสัตว์หรือเก็บของป่าขาย ส่วนชื่อหมู่บ้าน “จ่าโบ่” มาจากชื่อของจ่าโบ่ ซึ่งเป็นผู้นำหมู่บ้านที่พาลูกบ้านอพยพมาบนยอดเขาแห่งนี้ คำว่า “จ่า” เพี้ยนมาจากคำว่า “จ่ะ” ในภาษามูเซอร์ดำ เป็นคำนำหน้าผู้ชายเหมือนกับคำว่า “นาย” ในภาษาไทย สำหรับผู้หญิงจะใช้คำว่า “นา” แทนคำว่า “นาง” (ชาวบ้านแอบเล่าให้ฟังว่า “ที่มันเพี้ยน เพราะตอนนั้นนายอำเภอได้ยินคำว่า จ่ะโบ่ เป็น จ่าโบ่” ก็เลยจดเป็นชื่อหมู่บ้านจ่าโบซะเลย )
“บ้านจ่าโบ่” ตั้งอยู่ในเขตอำเภอปางมะผ้า อยู่ห่างจากตัวเมืองปายประมาณ 55 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถจากปายราว ๆ 1:20 ช.ม. และอยู่ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 60 กิโลเมตร เนื่องจากในเขตอำเภอปางมะผ้าส่วนใหญ่จะมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแบบภูเขาหินปูน ทำให้แถวนี้ถ้ำเยอะมาก ๆ ดังนั้นใครมาบ้านจ่าโบ่แล้วยังเที่ยวไม่สุดก็สามารถไปเที่ยวถ้ำอื่น ๆต่อได้ ไม่ว่าจะเป็น ถ้ำน้ำลอด ที่มีความใหญ่โตอลังการ หรือใครสายลุย ๆ ก็ไปพิชิตถ้ำแม่ละนา ซึ่งเป็นถ้ำที่มีความยาวเป็นอันดับสองของไทย (เจ้าของเซเว่นกลางวิว เล่าว่า ถ้ำแม่ละนา ทางเข้าอยู่ที่บ้านละนา ที่อยู่ตรงหุบเขาด้านล่าง แล้วถ้ำนี้จะลอดผ่านใต้หมู่บ้านจ่าโบ่ ทะลุไปออกอีกปากถ้ำใกล้ ๆกับจุดชมวิวลุกข้าวหลาม รวมระยะทาง 12 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 10-15 ช.ม. เรียกได้ว่าเป็นถ้ำที่ยาวมาก ๆ แต่ผมว่าถ้าไม่ใช่สายลุยจริงไม่แนะนำให้ไป ผมเองก็ขอบายเช่นกัน 55555
2. บ้านจ่าโบ่ ไปช่วงไหนมีทะเลหมอกแบบจัดเต็ม
แม้ว่าบ้านจ่าโบจะมี Landscape ที่มีความสวยงามในตัวอยู่แล้ว แต่ถ้ามีทะเลหมอกในตอนเช้าด้วยมันจะเป็นอะไรที่สุดมาก ดังนั้นในหัวข้อนี้ผมจะมาแฮกไขความลับให้เลยว่า “ต้องไปช่วงไหนถึงได้ทะเลหมอกแบบจัดเต็มที่สุด” เริ่มจากเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าทะเลหมอกที่บ้านจ่าโบ จะเป็น หมอกชนิดแบบแผ่รังสี ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกลางคืนท้องฟ้าแจ่มใสลมสงบ และมีอากาศเย็น แน่นอนว่าถ้าตามเงื่อนไขนี้แล้วทะเลหมอกจะเกิดขึ้นได้ก็คือในช่วงฤดูหนาว แต่ใช่ว่าฤดูหนาวจะต้องมีทะเลหมอกตลอดไปนะครับ หลายคนอาจจะเคยไปบ้านจ่าโบ่ช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. แต่กลับพบว่ามีทะเลหมอกเพียงนิดเดียวหรือไม่มีเลย ทั้งนี้ทะเลหมอกจะเกิดขึ้นได้เยอะ ๆจำเป็นต้องมีความชื้นสะสมจากหน้าฝนมาสนับสนุนด้วย ซึ่งช่วงที่อากาศเย็น ลมสงบ ท้องฟ้าใส ความชื้นสะสมเยอะ ก็จะตรงกับช่วง “กลางตุลาคม – ต้นธันวาคม” หรือปลายฝนต้นหนาว นั่นเอง และจากการที่ผมได้ถามเจ้าของที่พักแกก็บอกว่า “ในเดือน พ.ย. เป็นเดือนที่มีทะเลหมอกเกิดเยอะมากที่สุด จะมีเพียง 3-5 วัน เท่านั้นที่ไม่มีทะเลหมอก” และทะเลหมอกที่นี่ถ้าหากเกิดขึ้นเยอะจะอยู่คงทนยาวนานกว่าจะสลายตัวก็ปาไป 9 โมงเช้า เลยทีเดียว นับว่าเป็นทะเลหมอกอีกหนึ่งที่เอาใจคนตื่นสายเลยนะครับ ฮ่า ๆ
โดยสรุปแล้วคำถามที่ว่า “บ้านจ่าโบ่” ไปช่วงไหนสวยที่สุด หมอกเยอะที่สุด? ผมขอตอบเลยว่า “ต้องไปช่วงเดือนพฤศจิกายน” เพราะเป็นเดือนเดียวที่มีโอกาสเห็นทะเลหมอกเกือบทุกวัน ใครไปเดือนพฤศจิกายนโอกาสเก็นทะเลหมอกแทบเป็น 100% เลยครับ
มีหลายคนถามผมอีกว่า ถ้าไปช่วงเดือนกันยายน-กลางตุลาคม จะมีโอกาสเจอทะเลหมอกเยอะไหม? ขอตอบตรงนี้เลยว่า มีโอกาส 50/50 เพราะในช่วงเดือน ก.ย. – ต.ค. แม้ว่าอากาศจะเริ่มเย็นแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสที่ฝนจะตกได้อยู่ ซึ่งถ้าฝนตกนั่นแปลว่าท้องฟ้าไม่แจ่มใส ทะเลหมอกจึงไม่เกิดนั่นเอง แต่ว่าฟ้าหลังฝนเราจะได้หมอกก้อน ๆ ละตามภูเขาคล้ายกับช่วงหน้าฝน ซึ่งผมว่ามันก็สวยไปอีกแบบ หรือถ้าโชคดีฝนตกตอนเย็นแล้วกลางคืนท้องฟ้าแจ่มใสลมสงบ อากาศเย็น ตื่นเช้ามาก็เตรียมพบกับอภิมหาทะเลหมอกได้เลย ส่วนตัวผมไม่เคยไปช่วงฝนตกเหมือนกัน หากมีโอกาสผมว่าจะไปเยือนบ้านจ่าโบ่ช่วงหน้าฝนสักครั้ง เพราะเท่าที่ผมเห็นรูปตามเพจต่าง ๆหมอกก็สวยไม่แพ้ช่วงปลายฝนต้นหนาว สำหรับใครที่มาช่วงตั้งแต่ต้น ธ.ค. เป็นต้นไป ทะเลหมอกยังพอมีอยู่บ้างแต่ว่าต้องลุ้นนะครับ ถ้าวันไหนลมหนาวหรือความกดอากาศสูงลงมาจากจีนแรงๆโอกาสที่ทะเลหมอกจะเกิดก็น้อยมาก เนื่องจากว่าลมจะค่อนข้างแรงและแห้ง ดังนั้นใครที่จะมาช่วงเดือน ธ.ค.- ม.ค. ควรไปช่วงที่ลมหนาวจากจีนอ่อนกำลังลงหรืออากาศเย็นรอบนั้นเริ่มอุ่นขึ้น ส่วนเดือน ก.พ. ใครไปเดือนนี้แทบไม่ต้องหวังความชื้นแทบไม่เหลือแล้ว และอาจได้เป็นหมอกควันแทน
จริง ๆแล้วบ้านจ่าโบเที่ยวได้ตลอดทั้งปีนะครับ เนื่องจากว่าบ้านจ่าโบ่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 950 เมตร และสูงกว่าตัวเมืองแม่ฮ่องสอน 680 เมตร ทำให้บ้านจ่าโบมีอากาศเย็นกว่าเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 3-4 องศาเซลเซียส ส่วนตารางด้านล่างคืออุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละเดือน ของหมู่บ้านจ่าโบ่นะครับ
3. บ้านจ่าโบ่ ความสวยอยู่ที่ตอนเช้า
แน่นอนว่าไฮไลท์สำคัญของการมาบ้านจ่าโบ่ก็คือการมาเก็บแสงเช้าพร้อมกับทะเลหมอก แนะนำว่าใครที่จะเก็บแสงเช้าถ้าเป็นไปได้ควรตื่นมาตั้งกล้องก่อนพระอาทิตย์ประมาณ 1 ช.ม. เพราะเราจะได้เก็บทะเลหมอกในช่วงแสงสนธยา และจะได้ไม่พลาดจังหวะที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นจากขอบภูเขาด้วย หลายคนไม่รู้ว่าทะเลหมอกที่นี่จะมีความเรียบเนียนสวยที่สุดก็ตอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนี่แหละครับ หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นแล้วหมอกจะเริ่มตีโป่งฟุ้งขึ้นมา แล้วถ้าหมอกฟุ้งขึ้นมาก็ไม่ต้องตกใจรีบเก็บกล้องหนีนะครับ ให้รอสักพักประมาณ 5-10 นาที หมอกที่ฟุ้งขึ้นมาจะค่อย ๆจางหายไป และอาจกลับมาฟุ้งได้อีกเรื่อย ๆ หรือว่าใครที่กลัวว่าหมอกจะฟุ้งจริง ๆ ให้ลองติดต่อที่พักพาขึ้นไปจุดชมวิวภูผาหมอก ซึ่งจุดชมวิวนี้จะอยู่สูงกว่าบ้านจ่าโบ่ประมาณ 100 เมตร ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 20 นาที ดังนั้นบนนี้เรื่องของหมอกฟุ้งจะไม่มีเลยครับ (เสียค่าบริการคนละ 100 บาท)
4.เก็บแสงเย็นเล่นแสงดาวที่บ้านจ่าโบ่
เนื่องจากบ้านจ่าโบ่ตั้งอยู่ห่างไกลจากเมืองปายและแม่ฮ่องสอนมากกว่า 50 กิโลเมตร ทำให้มลภาวะทางแสงของที่นี่ค่อนข้างน้อย ใครกินข้าวเย็นเสร็จแล้วนอนไม่หลับ ผมแนะนำให้มาเก็บแสงเย็นต่อด้วยแสงดาวได้เลย แต่ก็เก็บพอเป็นน้ำจิ้มนะครับ โดยส่วนตัวผมว่าที่ปางอุ๋งดาวจะชัดกว่า เพราะที่นี่มุมท้องฟ้าจะมืดเฉพาะด้านฝั่งทิศตะวันออก ดังนั้นใครที่จะมาเก็บทะเลหมอกตอนเช้าในช่วงปลายฝนต้นหนาว แล้วจะเก็บทางช้างเผือกตอนกลางคืนด้วยอาจจะทำไม่ได้ เพราะช่วงเดือน ต.ค. – พ.ย. ทางช้างเผือกจะปรากฎบนท้องฟ้าฝั่งทิศตะวันตก ซึ่งเราจะเจอแสงไฟของหมู่บ้านรบกวน สำหรับใครจะมาล่าทางช้างเผือกที่บ้านจ่าโบจะต้องมาช่วงเดือน มี.ค. – ก.ค. ส่วนช่วงเวลาไหน ทางช้างเผือกอยู่มุมไหน ให้ดูตารางทางช้างเผือกได้ที่ลิ้งค์นี้เลย
สำหรับแสงเย็นที่บ้านจ่าโบ่ผมว่าไม่ค่อยสวย เนื่องจากว่าเราไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกโดยตรง แล้วแถมเงาภูเขาจะทอดยาวลงไปด้านล่างหุบเขาก่อนที่พระอาทิตย์ตกดินประมาณ 30-45 นาที ซึ่งการเกิดเงาช่างภาพหลายคนจะรู้เลยว่ามันวัดแสงยากมาก(วัดส่วนสว่าง ส่วนเงาก็ติดunder) ทำให้ในช่วงเวลาแสงทองเราจะเก็บแสงเย็นได้ไม่สวย ดังนั้นผมคิดว่าเราไม่ควรคาดหวังเก็บแสงเย็นที่นี่ ให้รอไปเก็บแสงเช้าแบบอลังการเลยดีกว่า
5.บ้านจ่าโบ่ ไปโฮมเสตย์พักที่ไหนดี
อย่างที่ผมบอกถ้าจะมาบ้านจ่าโบแล้วเอาให้คุ้มควรมานอนโฮมสเตย์ของชาวบ้านสักคืนนึง เพื่อซึมซับบรรยากาศวิถีชีวิตของชาวมูเซอร์ดำ และที่สำคัญคือจะได้ตื่นมาเก็บแสงเช้าพร้อมกับทะเลหมอกได้ทันด้วย ซึ่งจริง ๆแล้วในหมู่บ้านจ่าโบ่มีโฮมสเตย์หลากหลายให้เลือกเยอะมาก แต่ครั้งที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสได้ไปพักที่ “เซเว่นกลางวิว โฮมสเตย์บ้านจ่าโบ่” แล้วรู้สึกค่อนข้างประทับใจในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นห้องพักที่สามารถเปิดประตูมาก็พบกับวิวทะเลหมอกได้เลย หรือเจ้าของเป็นกันเองมากเล่าเรื่องนู่นนี่นั่นให้ฟัง แล้วที่สำคัญราคาเริ่มต้น 500 บาท/คืน เท่านั้น ถือว่าไม่แพงเลย และที่นี่จะมีที่พักให้เลือก 2 แบบ คือบ้านแบบหลัง(มีห้องน้ำในตัว) กับแบบห้องแถว(ห้องน้ำรวม) หากใครสนใจติดต่อสอบถามเพิ่มได้ที่เบอร์โทร 085-038-6824 หรือติดต่อทางเพจ เซเว่นกลางวิว โฮมสเตย์บ้านจ่าโบ่
สำหรับใครโทรไปเซเว่นกลางวิว แล้วปรากฎว่าห้องพักเต็ม ผมได้รวบรวมชื่อที่พักและเบอร์ไว้ให้ตามด้านล่างนี้นะครับ
1.บ้านผู้ใหญ่โฮมสเตย์ เบอร์โทร 099-894-6196,099-894-6256
2.การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บ้านจ่าโบ่ เบอร์โทร 080-677-5794
3.ลานกางเต็นท์จ่าทอ & โฮมสเตย์บ้านจ่าโบ่ เบอร์โทร 098-790-0292,064-095-6202
4.โฮมสเตย์ชายขอบบ้านจ่าโบ่ เบอร์โทร 093-180-5869
5.ฟ้าใสโฮมสเตย์จ่าโบ่ เบอร์โทร 099-240-4859